เพิ่มประสิทธิภาพ WordPress ของคุณ: วิธีที่มีประสิทธิภาพในการเร่งความเร็ว

เผยแพร่แล้ว: 2023-08-14

เพิ่มประสิทธิภาพ WordPress ของคุณ: วิธีที่มีประสิทธิภาพในการเร่งความเร็ว

การแนะนำ

WordPress เป็นหนึ่งในระบบจัดการเนื้อหา (CMS) ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน ช่วยให้ผู้ใช้มีส่วนต่อประสานที่ใช้งานง่ายและฟังก์ชันการทำงานที่หลากหลาย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเว็บไซต์หรือบล็อก WordPress ของคุณมีขนาดและความซับซ้อนเพิ่มขึ้น คุณอาจสังเกตเห็นประสิทธิภาพลดลง เวลาในการโหลดที่ช้าอาจส่งผลเสียต่อประสบการณ์ของผู้ใช้และอาจส่งผลต่อการจัดอันดับของเครื่องมือค้นหาของคุณ ในบทความนี้ เราจะพูดถึงวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มความเร็วเว็บไซต์ WordPress ของคุณและเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวม

1. เพิ่มประสิทธิภาพและบีบอัดรูปภาพ

รูปภาพมีบทบาทสำคัญในการดึงดูดผู้ชมของคุณ แต่ก็อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เว็บไซต์ของคุณช้าลงได้เช่นกัน ในการปรับรูปภาพให้เหมาะสม ให้เริ่มด้วยการตรวจสอบว่าอยู่ในรูปแบบที่เหมาะสม (JPEG, PNG หรือ GIF) และบีบอัดเพื่อลดขนาดไฟล์ คุณสามารถใช้เครื่องมือออนไลน์ เช่น TinyPNG, Optimizilla หรือ Kraken.io เพื่อบีบอัดรูปภาพของคุณโดยไม่ลดทอนคุณภาพ

สิ่งสำคัญคือต้องปรับขนาดภาพให้เป็นขนาดที่ต้องการ การอัปโหลดรูปภาพขนาดใหญ่แล้วลดขนาดลงโดยใช้ HTML หรือ CSS อาจส่งผลเสียต่อเวลาในการโหลด ลองใช้ซอฟต์แวร์แก้ไขภาพหรือปลั๊กอิน เช่น EWWW Image Optimizer หรือ Smush เพื่อบีบอัดและปรับขนาดภาพของคุณโดยอัตโนมัติ

2. ใช้แคช

การแคชเป็นเทคนิคที่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณจัดเก็บสำเนาหน้าเว็บชั่วคราว ทำให้โหลดได้เร็วขึ้นเมื่อเข้าชมครั้งต่อๆ ไป ด้วยการแคชเนื้อหาแบบสแตติก คำขอของเซิร์ฟเวอร์จะถูกย่อให้เหลือน้อยที่สุด ทำให้แสดงผลหน้าเว็บได้เร็วขึ้น WordPress มีปลั๊กอินสำหรับแคชหลายตัว เช่น W3 Total Cache, WP Rocket และ WP Super Cache ซึ่งสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณได้อย่างมาก

3. ย่อขนาด CSS และ JavaScript

ไฟล์ CSS และ JavaScript ควบคุมรูปลักษณ์และการทำงานของเว็บไซต์ WordPress ของคุณ อย่างไรก็ตาม ไฟล์เหล่านี้อาจเต็มไปด้วยโค้ดที่ไม่จำเป็น ซึ่งส่งผลต่อความเร็วในการโหลด การลดขนาดเป็นกระบวนการลบอักขระที่ไม่จำเป็น (เช่น ช่องว่าง การขึ้นบรรทัดใหม่ และความคิดเห็น) ออกจากไฟล์เหล่านี้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อฟังก์ชันการทำงาน

มีปลั๊กอินมากมายให้ใช้งาน เช่น Autoptimize และ Fast Velocity Minify ที่สามารถลดขนาดไฟล์ CSS และ JavaScript ของคุณได้โดยอัตโนมัติ ด้วยการลดขนาด ประสิทธิภาพของเว็บไซต์ของคุณจะดีขึ้น เนื่องจากเบราว์เซอร์จะต้องประมวลผลโค้ดน้อยลง

4. เพิ่มประสิทธิภาพฐานข้อมูลของคุณ

ฐานข้อมูล WordPress ของคุณเก็บข้อมูลเว็บไซต์ทั้งหมด รวมถึงโพสต์ เพจ ความคิดเห็น และการตั้งค่าปลั๊กอิน เมื่อเวลาผ่านไป ฐานข้อมูลนี้อาจรกไปด้วยข้อมูลที่ไม่จำเป็น ซึ่งส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน การเพิ่มประสิทธิภาพฐานข้อมูลของคุณอย่างสม่ำเสมอช่วยให้มั่นใจว่าฐานข้อมูลจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดเวลาในการโหลดเว็บไซต์ของคุณ

คุณสามารถใช้ปลั๊กอิน เช่น WP-Optimize หรือ WP-Sweep เพื่อล้างฐานข้อมูลของคุณโดยลบการแก้ไขโพสต์ ความคิดเห็นที่เป็นสแปม และข้อมูลที่ไม่จำเป็นอื่นๆ นอกจากนี้ ให้พิจารณาติดตั้งปลั๊กอินแคชที่มีคุณลักษณะการเพิ่มประสิทธิภาพฐานข้อมูล เช่น W3 Total Cache หรือ WP Rocket

5. เลือกธีมที่มีน้ำหนักเบา

ธีมที่คุณเลือกสำหรับเว็บไซต์ WordPress ของคุณอาจมีผลกระทบอย่างมากต่อประสิทธิภาพ แม้ว่าธีมที่มีคุณลักษณะหลากหลายอาจดูน่าสนใจ แต่ก็มักจะแลกมาด้วยเวลาในการโหลดที่ช้าลง เลือกใช้ธีมขนาดเล็กที่เขียนโค้ดอย่างมีประสิทธิภาพและปรับความเร็วให้เหมาะสม

นอกจากนี้ หลีกเลี่ยงการใช้ธีมที่มีฟังก์ชันที่สร้างไว้ล่วงหน้ามากมายที่คุณอาจไม่ต้องการ ด้วยการลดจำนวนโค้ดและคุณสมบัติที่ไม่จำเป็นลง คุณจะสามารถเพิ่มความเร็วเว็บไซต์ของคุณได้มาก ตัวอย่างของธีม WordPress ที่มีน้ำหนักเบา ได้แก่ Astra, GeneratePress และ Schema Lite

6. ใช้เครือข่ายการจัดส่งเนื้อหา (CDN)

Content Delivery Network (CDN) เป็นเครือข่ายของเซิร์ฟเวอร์ที่กระจายอยู่ตามที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ต่างๆ มันเก็บสำเนาแคชของเนื้อหาคงที่ของเว็บไซต์ของคุณ เช่น รูปภาพ, ไฟล์ CSS และ JavaScript เมื่อผู้ใช้เยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ พวกเขาจะได้รับเนื้อหาจากเซิร์ฟเวอร์ที่ใกล้ที่สุด ลดเวลาแฝงและปรับปรุงเวลาในการโหลด

มีผู้ให้บริการ CDN มากมาย เช่น Cloudflare, KeyCDN และ MaxCDN ผู้ให้บริการเหล่านี้มีปลั๊กอิน WordPress ที่เปิดใช้งานการรวมเข้ากับเว็บไซต์ของคุณได้ง่าย เมื่อใช้ CDN คุณสามารถส่งเนื้อหาถึงผู้ใช้ได้เร็วขึ้น โดยไม่คำนึงถึงตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์

คำถามที่พบบ่อย

ถาม: ฉันจะตรวจสอบความเร็วปัจจุบันของเว็บไซต์ WordPress ได้อย่างไร
ตอบ: มีเครื่องมือออนไลน์มากมาย เช่น GTmetrix, Pingdom และ Google PageSpeed ​​Insights ที่สามารถวิเคราะห์ประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณและจัดทำรายงานโดยละเอียดเกี่ยวกับส่วนที่ต้องปรับปรุง

ถาม: มีความเสี่ยงใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลดขนาดไฟล์ CSS และ JavaScript หรือไม่
ตอบ: แม้ว่าการลดขนาดโดยทั่วไปจะปลอดภัย แต่ขอแนะนำให้ทำการสำรองข้อมูลเว็บไซต์ของคุณก่อนทำการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในบางกรณี การลดขนาดอาจทำให้เกิดปัญหาความเข้ากันได้กับปลั๊กอินหรือธีมบางอย่าง

ถาม: การเพิ่มประสิทธิภาพฐานข้อมูล WordPress ของฉันจะลบข้อมูลสำคัญใดๆ หรือไม่
ตอบ: ไม่ การเพิ่มประสิทธิภาพฐานข้อมูลของคุณจะลบเฉพาะข้อมูลที่ไม่จำเป็น เช่น การแก้ไขโพสต์และความคิดเห็นที่เป็นสแปม ไม่มีผลกับโพสต์ เพจ หรือข้อมูลสำคัญอื่นๆ ของคุณ

ถาม: ปลั๊กอินแคชทั้งหมดฟรีหรือไม่
ตอบ: แม้ว่าจะมีปลั๊กอินแคชฟรีในที่เก็บปลั๊กอิน WordPress แต่ปลั๊กอินพรีเมียมบางตัวก็มีคุณสมบัติขั้นสูงและประสิทธิภาพที่ดีกว่า ตัวเลือกระหว่างปลั๊กอินแคชฟรีและพรีเมียมขึ้นอยู่กับความต้องการและงบประมาณของเว็บไซต์ของคุณ

บทสรุป

การเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ WordPress ของคุณเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการมอบประสบการณ์การใช้งานที่รวดเร็วและราบรื่น ด้วยการใช้เทคนิคที่กล่าวถึงในบทความนี้ เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพและการบีบอัดรูปภาพ การใช้แคช การลดขนาด CSS และ JavaScript การปรับฐานข้อมูลให้เหมาะสม การเลือกธีมที่มีน้ำหนักเบา และการใช้ CDN คุณจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพ WordPress ของคุณได้อย่างเต็มที่และรับประกันประสบการณ์การท่องเว็บที่ราบรื่น สำหรับผู้เยี่ยมชมของคุณ อย่าลืมตรวจสอบความเร็วของเว็บไซต์ของคุณอย่างสม่ำเสมอและทำการเพิ่มประสิทธิภาพที่จำเป็นเพื่อให้เว็บไซต์ทำงานได้อย่างดีที่สุด

โพสต์สรุป:

WordPress เป็นระบบจัดการเนื้อหา (CMS) ที่ได้รับความนิยม แต่เมื่อเว็บไซต์ของคุณเติบโตขึ้น ประสิทธิภาพของเว็บไซต์ก็อาจลดลงได้ เวลาในการโหลดที่ช้าอาจส่งผลเสียต่อประสบการณ์ของผู้ใช้และการจัดอันดับของเครื่องมือค้นหา เพื่อเพิ่มความเร็วเว็บไซต์ WordPress ของคุณ คุณสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและบีบอัดรูปภาพ ใช้การแคช ลดขนาด CSS และ JavaScript เพิ่มประสิทธิภาพฐานข้อมูลของคุณ เลือกธีมขนาดเล็ก และใช้เครือข่ายการส่งเนื้อหา (CDN) มีปลั๊กอินและเครื่องมือออนไลน์เพื่อช่วยในงานเหล่านี้ การตรวจสอบและการเพิ่มประสิทธิภาพเป็นประจำมีความสำคัญต่อการรักษาประสบการณ์ผู้ใช้ที่รวดเร็วและราบรื่น